ที่มาภาพ : shutterstock
“ฮวงจุ้ยที่ดี เริ่มต้นตั้งแต่การเลือกทำเลตามที่ต่างๆ ให้ดีก่อน เรียกได้ว่า ถ้าได้ทำเลดี ก็ทำให้มีชัยกว่าครึ่งจริงๆ”
โดยเฉพาะหากเลือกที่ดินเหมาะสมกับดวงชะตา และมีการออกแบบสิ่งปลูกสร้างให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยที่สอดคล้องกับหลักสถาปัตยกรรมวิศวกรรม ก็จะเป็นสิ่งที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองอย่างสูงสุดได้
ไม่ว่าสิ่งปลูกสร้างนั้นจะเป็น บ้าน สำนักงาน โรงงาน อาคารประเภทใดๆ ก็ตาม ซึ่งหากเราเลือกที่ดินที่มีชัยภูมิหรือฮวงจุ้ยที่ดีแล้วนั้น ย่อมส่งผลที่ดีสำหรับการออกแบบสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ให้มีฮวงจุ้ยดีตามมาด้วยเช่นกัน
เพราะทำเลที่ดีนั้นง่ายต่อการออกแบบให้ฮวงจุ้ยดีและสอดคล้องกับหลักสถาปัตยกรรมด้วย เรียกว่าได้ว่า “ที่ดิน” เป็นหลักเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการจัดฮวงจุ้ยเลยที่เดียว
ดังนั้น หากเริ่มต้นจากสิ่งที่ถูกต้องตั้งแต่ต้นก็เหมือนเป็นการชี้นำขั้นตอนการออกแบบ รวมถึงปลูกสร้างอาคารไปในทางที่ถูกต้องเลยทีเดียว ซึ่งรวมถึงการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อปรับปรุงแก้ไขอาคารให้กลับมามีฮวงจุ้ยที่ดีอีกด้วย
แต่หากเราเลือกที่ดินที่มีฮวงจุ้ยไม่ดี หรือแค่พอใช้ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการออกแบบ ปรับอาคารต่างๆ ในที่ดินให้สอดคล้องตามหลักฮวงจุ้ยให้เสริมคนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
ทว่าการออกแบบก็มักจะมีข้อจำกัดตามสภาพของที่ดินที่ถูกเลือกไว้แล้วเช่นกัน ซึ่งบางที่ดินก็สามารถแก้ไขสิ่งไม่ดีต่างๆ โดยการออกแบบอาคารให้เหมาะสมตามหลักฮวงจุ้ยได้ ทว่าบางสถานที่ก็ยากที่จะออกแบบให้สอดคล้องกับหลักฮวงจุ้ยเพราะชัยภูมิของที่ดินบริเวณนั้นๆ ไม่เอื้ออำนวย
เพราะเราต้องไม่ลืมว่า “อาคารสิ่งปลูกสร้างในแต่ละที่ดินนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ ออกแบบเองได้ ขึ้นอยู่กับงบประมาณที่เรามี แต่ชัยภูมิของที่ดินนั้นเราไม่สามารถเปลี่ยนได้เลย”
ยกตัวอย่างเช่น
หากที่ดินด้านหน้ามีถนนและด้านหลังมีแม่น้ำที่ไหลตลอดนั้น เราไม่สามารถเปลี่ยนให้ด้านหน้าที่ดินเป็นอย่างอื่นนอกจากถนน เช่นเดียวกับเปลี่ยนด้านหลังที่ดินที่มีแม่น้ำให้กลายเป็นอย่างอื่น
บางอาคารมีทางสามแพร่งพุ่งเข้ามาชน บางอาคารมีตึกสูงใหญ่มาบังด้านหน้า ด้านข้าง หรือด้านหลังก็แล้วแต่ เราก็ไม่สามารถปรับย้ายทางสามแพร่ง หรือตึกสูงใหญ่เหล่านี้ได้เลย
ดังนั้นเราจึงได้แต่ออกแบบอาคารในที่ดินของเราเองให้สอดคล้องกับชัยภูมิรอบด้าน ภายใต้กรอบจำกัดของที่ดินเราเท่านั้นเอง
หลายคนไม่เข้าใจ คิดว่าการเลือกทำเลนั้นไม่สำคัญเท่ากับการออกแบบตามหลักฮวงจุ้ย แต่แท้จริงแล้วทำเลและชัยภูมิต่างๆ ของทำเลเป็นตัวกำหนดการออกแบบให้สอดคล้องตามหลักฮวงจุ้ยที่ดี ซึ่งเราลองมาดูหลักการคร่าวๆ สำหรับการเลือกที่ดินกันครับ
หลักการเลือกที่ดินโดยสังเขป
- ที่ดินนั้นๆ จะต้องมีจุดรับกระแสพลังงานที่ดี เช่น กระแสลม ซึ่งคำว่าฮวงก็แปลว่าลม ส่วนคำว่าจุ้ยแปลว่าน้ำ โดยลมเป็นตัวพาพลังงาน และน้ำนั้นเป็นตัวสะสมพลังงาน ซึ่งเราควรเลือกที่ดินที่ได้รับพลังมากก่อน โดยดูว่าหากสร้างสิ่งปลูกสร้างมาแล้ว บริเวณด้านหน้าหรือทิศประตูทางเข้าหลักของสิ่งปลูกสร้างในที่ดินนั้นๆ มีความโล่งมากน้อยแค่ไหน
หากโล่งมาก ก็แปลว่ากระแสลมที่พัดนำพาพลังงานนั้นสามารถลากพลังงานเข้ามาสะสมในบริเวณทำเลนั้นได้ง่าย ก็จะยิ่งเป็นผลดี เช่น
บริเวณด้านหน้าที่ดินเป็นถนนมีที่ขนาดใหญ่ มีสายน้ำที่เคลื่อนไหว หรือบริเวณด้านหน้าที่ดินนั้นไม่มีอาคารสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆ มาบดบังกระแสลม หรือทำเลที่ดินนั้นอยู่ใกล้จุดตัดของถนน เช่น สามแยก สี่แยก ซึ่งมีรถผ่านไปมาจำนวนมาก โดยรถยนต์นั้นเมื่อเคลื่อนไหวก็ลากกระแสลมที่นำพาพลังงานมาได้ด้วยเช่นกัน หรือที่ดินที่หันหน้าเจอช่องลม ช่องอากาศขนาดใหญ่ เป็นต้น
โดยการเลือกที่ดินที่มีจุดจ่ายกระแสพลังงานเข้าในที่ได้นั้น จัดว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการเลือกที่ดิน
ภาพอาคารที่มีลานด้านหน้ากว้าง ไม่มีสิ่งปลูกสร้างบังกระแสลม และติดถนน ทำให้รถที่ขับผ่านนำกระแสพลังงานเข้าถึงบ้านได้ง่าย
ที่มาภาพ : shutterstock
- เลือกที่ดินที่หันหน้าเข้าหาทิศทางกระแสลมเพื่อรับพลัง สำหรับประเทศไทย ลมจะมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน มีระยะเวลา 6-8 เดือนต่อปี หรือยาวนานที่สุดของปีก็ว่าได้ ส่วนลมที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงฤดูหนาวจะมีระยะเวลา 3-4 เดือนต่อปี หรือมีระยะเวลาสั้นกว่า
ดังนั้น คนจีนส่วนใหญ่ก็จะนิยมเลือกที่ดินที่สามารถสร้างอาคารให้หันหน้าไปทางทิศใต้เพื่อรับลมเข้าทางหน้าบ้าน เนื่องจากทิศใต้ได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นทิศที่ลมพัดยาวนานสุดของปี
ส่วนที่ดินที่สร้างอาคารให้หันหน้าทางทิศตะวันตก และทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อจะได้รับพลังงานจากกระแสลมที่มาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วยซึ่งก็จัดว่าเป็นทิศที่ดี เพียงแต่ทิศนี้จะรับแดดมากในช่วงเวลาบ่าย จึงทำให้คนไม่นิยมสร้างอาคารแล้วหันหน้าไปทิศเหล่านี้ทั้งๆ ที่เป็นทิศที่ดีเช่นเดียวกัน
- ความสูงของที่ดิน ตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว ที่ดินไม่ควรสูงจากที่ดินบริเวณข้างเคียง เนื่องจากกระแสพลังงานถูกนำพาได้โดยกระแสลมกับน้ำเป็นหลัก ซึ่งแท้จริงแล้วลมกับน้ำคือของที่ไหลได้ในทางวิศวกรรม โดยจะไหลจากที่สูงสู่ที่ต่ำกว่า
ดังนั้นหากที่ดินมีความสูงมากกว่าบริเวณที่ดินอื่นโดยรอบ ก็จะทำให้ที่ดินนั้นๆ ไม่สามารถสะสมพลังงานได้ เนื่องจากพลังงานจะไหลไปสู่ที่ต่ำกว่า นั่นก็คือที่ดินอื่นๆ โดยรอบนั่นเอง
ยกตัวอย่าง กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เจริญสุดในประเทศไทย เนื่องจากกรุงเทพฯ เป็นบริเวณที่ราบต่ำ ทำให้พลังงานจากทิศทางอื่นๆ ไหลมาสะสมตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ
- รูปทรงของที่ดิน ต้องมีความลึกไม่มากเกินไป เนื่องจากที่ดินที่มีความลึกจากถนนมากเกินไปนั้น ก็มีโอกาสที่จะได้รับพลังงานเข้าไปส่วนที่ลึกของที่ดินได้ยาก หรือเรียกว่าไม่สามารถสะสมพลังงานได้เต็มที่ เนื่องจากถนน จัดเป็นจุดจ่ายกระแสพลังงานหลัก เพราะการเคลื่อนไหวของรถเป็นการลากกระแสพลังงานผ่านด้านหน้าของที่ดินตลอด
ดังนั้นหากอาคารที่ปลูกสร้างอยู่ลึกหรือห่างจากบริเวณถนน ก็มีโอกาสได้รับพลังงานจากกระแสพลังงานที่มาจากการเคลื่อนไหวจากรถยนต์น้อย ซึ่งหากเลือกทำเลแบบนี้ก็จะต้องออกแบบอาคารให้รับกระแสพลังงานจากลมธรรมชาติหรือสิ่งอื่นๆแทน
- ควรเลือกที่ดินที่มีด้านหน้ากว้าง แต่เดิมนั้น ผู้คนเชื่อว่าที่ดินที่ด้านหน้าแคบ ด้านหลังกว้าง หรือที่หลายๆ คนเรียกว่ารูปทรงถุงเงิน และเข้าใจว่าเป็นรูปทรงของที่ดินฮวงจุ้ยที่ดี ซึ่งนั่นไม่จริงเสมอไป แต่ที่ผู้คนเชื่อกันเช่นนั้น มาจากสมัยก่อนมีการเรียกเก็บภาษีที่ดินโดยดูจากความแคบกับกว้างของหน้าที่ดิน ยิ่งด้านหน้าที่ดินกว้างก็ยิ่งเสียภาษีมากกว่า จึงเป็นสาเหตุให้สมัยก่อนกล่าวว่าดินที่มีลักษณะหน้าแคบเป็นถุงเงินนี้เป็นฮวงจุ้ยที่ดีเพราะเสียภาษีน้อย
แต่ความเป็นจริงแล้ว ในปัจจุบันนั้นหลายคนคงมองต่าง เพราะที่ดินย่านการค้าที่มีหน้ากว้างนั้นสามารถออกแบบอาคารให้คนเข้าถึงอาคารได้ง่ายกว่าและเหมาะกับการค้าขายมากกว่า ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยแล้วที่ดินที่มีหน้ากว้างติดถนนหรือทางเดินถือว่าเป็นที่ดินที่ดี เพราะสามารถรับกระแสพลังงานจากการเคลื่อนไหวรถยนต์หรือคนเดินผ่านอยู่ตลอดเวลา
ภาพแสดงที่ดินที่มีด้านหน้ากว้างกว่าด้านหลัง (B)
ซึ่งสามารถสะสมกระแสพลังงานได้มากกว่าที่ดินหน้าแคบกว่าด้านหลัง (A), (C), (D) หรือที่เรียกว่าถุงเงิน
- ควรเลือกที่ดินที่มีองศาทิศทางดี โดยควรเป็นองศาที่คำนวณออกมาทางฮวงจุ้ยแล้วเป็นทิศทางที่มีพลังดีเข้ามาสะสม เพราะเมื่อปลูกสร้างอาคารขนานกับแนวที่ดินนั้นก็จะทำให้อาคารนั้นได้รับพลังงานจากทิศทางที่ดี
โดยแท้จริงแล้วไม่ว่าจะทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศเหล่านี้สามารถได้รับพลังงานดีและพลังงานร้ายได้หมด ขึ้นอยู่กับองศาของทิศแต่ละทิศนั้น ซึ่งการจะตอบได้ว่าองศาทิศทางของที่ดินนั้นดีหรือไม่ดีนั้น ควรปรึกษาซินแสจะเป็นสิ่งดีที่สุด
- ควรเลือกที่ดินที่สามารถสร้างอาคารให้หันหน้า หรือมีช่องเปิดรับพลังงานจากทิศที่เหมาะสม สอดคล้องกับดวงชะตาผู้อยู่อาศัย โดยหากพื้นดวงชะตาของผู้อยู่อาศัยชอบธาตุน้ำ ควรเลือกที่ดินที่สร้างอาคารหันหน้า หรือมีช่องรับพลังทางทิศเหนือ ส่วนคนที่พื้นดวงชอบธาตุไฟก็ให้เลือกทิศใต้ ดวงชอบธาตุไม้ ให้เลือกทิศตะวันออก ดวงชอบธาตุทอง ให้เลือกทิศตะวันตก เป็นต้น
ซึ่งการจะรู้ว่าพื้นดวงนั้นถูกโฉลกกับธาตุใดบ้าง คงต้องให้ซินแสเป็นผู้ถอดดวงชะตาจากดวงจีน หรือที่เรียกว่าระบบ “โป๊ยหยี่สี่เถียว” นั่นเอง
โดยดวงจีนนั้นแบ่งเป็น 5 ธาตุ คือ ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ ซึ่งต่างจากดวงไทยที่แบ่งเป็น 4 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดังนั้นจึงไม่สามารถอ้างอิงดวงไทยในการประยุกต์ใช้กับการเลือกที่ดินในศาสตร์ฮวงจุ้ยที่เป็นระบบแบบจีน