FIN: ความสำเร็จจากปัจจัย 3 ประการ

ที่มาภาพ : shutterstock

ชาวจีนเชื่อว่าความสำเร็จของมนุษย์นั้นประกอบด้วย 3 ปัจจัยด้วยกัน

อย่างแรกคือ ชะตามนุษย์ หรือสิ่งที่มนุษย์นั้นต้องทำเอง สร้างเอง จากความรู้ความสามารถของแต่ละคน

อย่างที่สองคือ ชะตาฟ้า เป็นพลังงานที่เกิดจากการโคจรของดวงดาว ซึ่งส่งผลถึงตัวเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นสิ่งที่เราจะปรับเปลี่ยนเองไม่ได้ ซึ่งชะตาฟ้าเป็นตัวกำหนดดวงชะตาของคนเรา

เพราะเมื่อการโคจรของดวงดาวก่อให้เกิดพลังสอดคล้องหรือเติมเต็มกับพลังในตัวคนนั้นก็จะส่งผลดีกับคน หรือเราเรียกกันว่าดวงดี และเมื่อไรที่การโคจรนั้นไม่สอดคล้องกับพลังงานของตัวเรา ก็ส่งผลร้ายกับเรา หรือเรียกว่าดวงไม่ดีนั่นเอง

อย่างที่สามคือ ชะตาดิน คือสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัว หรือฮวงจุ้ยนั่นเอง ซึ่งสรรพสิ่งต่างๆ หรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัวคนคนนั้นก็ส่งผลต่อคนด้วยเช่นกัน

ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลกับคน ซึ่งเราจะมาลองทำความเข้ากันเกี่ยวกับปัจจัย 3 ประการ หรือ ชะตามนุษย์ ชะตาฟ้า ชะตาดิน กัน

  1. ชะตามนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องทำเอง โดยใช้ความรู้ ความสามารถ ความอดทน ความขยัน สติปัญญาของคนคนนั้นเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จได้ เปรียบเสมือนสิ่งตั้งต้นของทุกปัจจัย ถ้าเกิดมามีชะตาฟ้าดี หรือดวงดี มีชะตาดินหรือฮวงจุ้ยดี แต่ตัวคนนั้นไม่สร้างหรือพยายามทำเองก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นจึงต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเพื่อให้เกิดความสำเร็จในอนาคตขึ้นได้

    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคนที่มีความเพียร ความพยายามทุ่มเท มีความรู้ความสามารถ ก็ใช่ว่าจะเป็นคนประสบความสำเร็จได้เสมอไป เพราะแม้ว่าบางคนมีพยายามอย่างไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ หลายคนมีความรู้ความสามารถแต่ไม่อาจทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองได้ เปรียบเสมือนเมล็ดพันธ์ุพืชชั้นดีแต่ไปอยู่ในสภาพดินฟ้าอากาศ อุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ก็ไม่สามารถเจริญเติบโตขึ้นมาได้

    ดังนั้น นอกจากชะตามนุษย์ที่ดีแล้ว ยังต้องอาศัยอีก 2 ปัจจัย นั่นคือ ชะตาฟ้าและชะตาดิน

    ที่มาภาพ : shutterstock

  2. ชะตาฟ้า เป็นพลังระดับจักรวาลจากการโคจรของโลกและดวงดาวต่างๆ ที่กำหนดพลังมาสัมพันธ์กับมนุษย์และสรรพสิ่งต่างๆ โดยชะตาฟ้าก็เป็นหลักที่มาของวิชาดวงจีนนั่นเอง การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดชะตาฟ้า ซึ่งเรื่องฤดูกาลหรือช่วงเวลาต่างๆ มีความเกี่ยวข้อง โดยฤดูกาลหรือช่วงเวลาต่างๆ ประกอบด้วย ปี เดือน วัน ยาม จะมีความเป็นธาตุแต่ละธาตุอยู่ (ไม้ ไฟ ดิน ทอง น้ำ)

    ยกตัวอย่างแบบคราวๆ เช่น หากเกิดเดือนธันวาคมที่เป็นเดือนที่มีอากาศเย็นสุด ก็เปรียบเหมือนเกิดเดือนธาตุน้ำ เนื่องจากธาตุน้ำเป็นธาตุที่เย็นสุดใน 5 ธาตุ ทำให้คนที่เกิดเดือนนี้ประจุพลังของธาตุน้ำอยู่ในตัวตอนเกิด

    ขณะที่ใครที่เกิดเดือนพฤษภาคม มิถุนายน เป็นฤดูร้อน หรือฤดูธาตุไฟ ก็จะทำให้คนที่เกิดในเดือนนี้ประจุพลังธาตุไฟอยู่ในตัว โดยแต่ละเดือนก็มีพลังแต่ละธาตุสถิตอยู่

    ส่วนเวลาเกิดก็แบ่งเป็นธาตุได้เช่นกัน หากเกิดเวลากลางคืนเป็นเวลาที่เย็นที่สุดของวัน ก็เป็นเวลาธาตุน้ำ หรือหากเกิดเวลาใกล้เที่ยงที่เป็นเวลาร้อนสุดก็เป็นเวลาธาตุไฟ ซึ่งคนเกิดเวลาไหน ก็จะประจุพลังของธาตุนั้นเข้าไป

    สำหรับปีเกิดก็มีความเป็นธาตุ แต่เราจะคุ้นเคยกับ 12 นักษัตร ซึ่งจริงๆ แล้ว 12 นักษัตร มีความเป็นธาตุอยู่ โดยอธิบายคร่าวๆ คือ

    โลกใช้เวลาหมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 ปี ขณะที่ดาวพฤหัสบดีซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่สุดในระบบสุริยะหรือมีมวลมากกว่าโลกประมาณ 400 เท่า โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นเวลา 12 ปี

    ดังนั้นทุกๆ ปีที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ องศาที่เกิดแรงดึงดูดกับดาวพฤหัสบดีจะต่างกันถึง 12 รูปแบบ เนื่องจากดาวพฤหัสบดีนั้นใช้เวลาหมุนรอบดวงอาทิตย์ 12 ปี จึงเป็นที่มาของ 12 นักษัตร หรือที่เราท่องกัน : ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน นั่นเอง

     

    ที่มาภาพ : macrovector – www.freepik.com

    โดยแท้จริงแล้ว นักษัตรไม่ได้มีพลังงานหรือลักษณะเหมือนสัตว์ชนิดนั้นๆ เช่น ชวด ไม่ได้หมายถึง หนู แต่หมายถึงพลังงานธาตุน้ำ หรือพลังที่เย็นที่สุดที่คล้ายลักษณะนิสัยของหนู

    เนื่องจากหนูสามารถเคลื่อนไหวไปทุกที่ต่างๆ เหมือนน้ำที่ไหลไปได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน หรือทุ่งนาชนบท หนูมักออกหากินเวลากลางคืนซึ่งก็เป็นเวลาที่เย็นที่สุด หรือเวลาธาตุน้ำนั้นเอง

    ส่วนความเชื่อที่ว่าคนเกิดปีกระต่ายแล้วลูกจะดก หรือเกิดปีเสือจะเป็นคนดุนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ความเชื่อเท่านั้น ถ้าเป็นลักษณะตามนิสัยสัตว์จริงแล้วเกิดปีมะโรงหรือมังกรจะมีนิสัยแบบไหนก็ไม่มีคนตอบได้ เพราะไม่เคยเห็นมังกรจริงๆ

    จากที่กล่าวมา แต่ละปีมีลักษณะของความเป็นธาตุอยู่ โดยแต่ละนักษัตรก็จะแปลงเป็นธาตุทั้ง 5 ได้ เช่น ขาลกับเถาะเป็นธาตุไม้ มะเส็งกับมะเมียเป็นธาตุไฟ วอกกับระกาเป็นธาตุทอง กุนกับชวดเป็นธาตุน้ำ ส่วนมะโรง มะแม จอ ฉลู เป็นธาตุดิน ซึ่งคนเกิดปีไหนก็จะมีพลังธาตุนั้นประจุในตัวคนนั้น

    ส่วนวันแต่ละวันก็มีลักษณะความเป็นธาตุด้วยเช่นเดียวกัน แต่จะอธิบายการคำนวณได้ซับซ้อนมาก โดยแท้จริงแล้วการคำนวณเพื่อทายดวงคนนั้นยังซับซ้อนขึ้นกว่าที่กล่าวมาข้างต้น โดยดวงจีนของแต่ละคนจะต้องประกอบจากธาตุต่างๆ จาก 8 องค์ประกอบ ซึ่ง 2 ธาตุ มาจากพลังปีเกิด 2 ธาตุ มาจากพลังเดือนเกิด 2 ธาตุ มาจากพลังของวันเกิด และอีก 2 ธาตุสุดท้าย มาจากพลังยามหรือเวลาเกิด รวมทั้งหมดเป็น 8 ส่วนด้วยกัน หรือที่เรียกกันว่าวิชาโป๊ยยี่สี่เถียว (โป๊ย แปลว่า 8 ส่วน คำว่า ยี่ แปลว่า ตัวอักษร)

    รูปภาพแสดงอักษรจีน 8 ตัว ในวิชาโป๊ยยี่สี่เถียวหรือดวงจีน ซึ่งอักษรแต่ละตัวจะมีพลังงานเป็นธาตุอยู่
    โดยคนเราทุกคนนั้นจะประกอบด้วยพลังงานแต่ละธาตุจากอักษร 8 ตัว (ตามรูป)
    แต่ละตัวมีความเป็นธาตุไม้ ไฟ ดิน ทอง หรือน้ำ ในตัว
    ซึ่งพลังเหล่านี้ที่ประจุเข้าในช่วงปี เดือน วัน ยาม เมื่อตอนคนเกิด

     

    สิ่งเหล่านี้มีผลกับตัวเราได้เพราะว่าช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป บนโลกเรานั้นเกิดความสัมพันธ์กับพลังของธาตุที่ประจุอยู่ในคนกับพลังของธาตุต่างๆ ของวันเวลาจริงในปัจจุบัน ซึ่งหากสอดคล้องกันก็ทำให้ดวงดี แต่หากขัดแย้งกันก็เป็นที่มาของดวงไม่ดีนั่นเอง

    สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะปี เดือน วัน ยาม หรือฤดูกาลต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการโคจรของดาวในระบบสุริยะจักรวาล

    เราจึงเรียกว่าชะตาฟ้า หรือสิ่งที่เป็นพลังงานจากระบบสุริยะกำหนดขึ้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าชะตาฟ้าเป็นสิ่งที่เราปรับเปลี่ยนไม่ได้ เนื่องจากเราไม่สามารถควบคุมให้ดาวต่างๆ ในระบบสุริยะจักรวาลหยุดโคจร หรือทำให้โคจรช้าหรือเร็วขึ้นตามใจเราได้ จะเปลี่ยนปีชวดเป็นปีฉลูเลยก็ไม่ได้

    แม้ว่าเราจะสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีใดๆ ก็ตามก็ไม่อาจเปลี่ยนธรรมชาติของการโคจรของดาวได้ สิ่งเหล่านี้จึงเรียกว่า ฟ้าลิขิต

    ที่มาภาพ : shutterstock

    เมื่อเราดูดวงแล้วก็จะทราบถึงช่วงจังหวะที่ดีและไม่ดีของชีวิตที่เป็นสิ่งแน่นอนตายตัว นอกเสียจากว่าผู้ทำนายดวงนั้นตีความผิดเอง แต่หากทราบจังหวะชีวิตที่มีการขึ้นลงแน่นอน เราจึงได้แต่วางแผนเตรียมรับมือกับโชคชะตาของเรา ถ้าดวงดีก็เตรียมตัวกระทำการใดๆ ให้เกิดผลขึ้นมาให้มากที่สุด ถ้าดวงร้ายก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ชีวิตเราต้องมีอุปสรรคมากขึ้น จึงเป็นส่วนสำคัญที่จำเป็นที่จะตรวจดวงชะตาของคนนั่นเอง

  3. ชะตาดิน หรือ ฮวงจุ้ย ซึ่งจะกล่าวถึงพลังงานที่เราได้รับจากสิ่งแวดล้อมของเราจากทุกๆ ที่ที่เราอยู่อาศัยหรือสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ทำงาน หรือที่ใดก็ตาม โดยที่ไหนที่เราอาศัยอยู่มาก พลังงานจากสิ่งแวดล้อมนั้นก็ส่งผลต่อตัวเรามากขึ้นตามลำดับ ซึ่งพลังนั้นก็จะสะสมอยู่กับตัวเราจึงส่งผลกับตัวเรา ถ้าเป็นพลังงานที่ดีก็ยิ่งส่งผลดี แต่ถ้าเป็นพลังงานที่ร้ายก็ส่งผลร้ายกับคนนั้น เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นและแย่ลงได้

    คำว่า ฮวงจุ้ย หมายถึง ลมกับน้ำ โดยคำว่า “ฮวง” คือ ลม ส่วนคำว่า “จุ้ย” คือ น้ำ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นพลังที่ธรรมชาติบนโลกนี้สร้างขึ้น

    ซึ่งหากอ้างถึงสิ่งของที่ไหลได้ในเชิงวิศวกรรมนั้นก็จะมีลมกับน้ำที่เป็นวัตถุที่ไหลได้ โดยแท้จริงแล้วฮวงจุ้ยในเชิงพลังงานนั้นว่าด้วยการบริหารพลังจากของไหลทั้งสองอย่างนี้เป็นหลัก ซึ่งนักจัดฮวงจุ้ยหรือซินแสที่ดีจะต้องคำนึงถึงการไหลเวียนของพลังและรู้จักเหนี่ยวนำให้กระแสพลังที่ดีให้ไหลเข้าสู่บ้าน ขณะเดียวกันก็ต้องนำพลังที่เสื่อมให้ไหลออกนอกบ้าน

    โดยหลักแท้จริงของการบริหารพลังธรรมชาตินั้นใช้หลักการวิชาในเชิงชัยภูมิของสถานที่จริง และหลักวิชาว่าด้วยการคำนวณองศาทิศทางจากทิศจริงๆ มาประยุกต์กัน

    ซึ่งจะต้องคำนึงถึงชัยภูมิมีจุดจ่ายกระแสพลังงานที่ดีมาจากองศาทิศทางที่ดี และยังมีชัยภูมิที่รองรับกักเก็บพลังที่ดีไว้ภายในที่พักอาศัยหรือสถานที่ประกอบการของเราอย่างเพียงพอ

    ขณะเดียวกันก็ต้องมีจุดปล่อยกระแสพลังที่ไม่ดีจากชัยภูมิของที่พักเราในองศาทิศทางที่ถูกต้อง

    ที่มาภาพ : shutterstock

    พลังงานทางฮวงจุ้ยหรือสรรพสิ่งรอบตัวเรายังถูกจำแนกได้เป็น 5 ธาตุ (ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ) เช่นเดียวกับพลังของวิชาดวงจีนหรือชะตาฟ้า ซึ่ง 5 ธาตุนั้นทำให้เกิดความสมดุลในด้านพลังงานด้วย

    ความสมดุลของพลังงานเกิดจากวงจรของธาตุ โดยบางธาตุก่อเกิดอีกธาตุ บางธาตุทำลายหรือควบคุมอีกธาตุ หรือบางธาตุถ่ายเทกำลังของอีกธาตุ

    โดยคนจีนนั้นอธิบายว่าได้ว่า ทุกสรรพสิ่งแจกแจงธาตุต่างๆ จาก รูปแบบของพลังงาน วัตถุธาตุของสรรพสิ่งนั้น รูปทรง สี ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นสรรพสิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมชนิดใดก็ตาม ก็สามารถแจกแจงเป็นธาตุต่างๆ ได้ และเมื่อแจกแจงสรรพสิ่งเป็นธาตุแต่ละธาตุได้ ก็สามารถใช้หลักปฏิกิริยาธาตุนี้ควบคุมพลังงานทางธรรมชาตินั้นได้

    โดยหลักการพลังงานของธาตุต่างๆ ทางวิชาดวงจีนหรือชะตาฟ้าก็จะสัมพันธ์กับธาตุต่างๆ ของวิชาฮวงจุ้ยหรือชะตาดิน จึงเป็นที่มาของการที่ซินแสนิยมให้แก้ไขฮวงจุ้ยเพื่อปรับดวงชะตาของคนนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น

    ดวงชะตาคนที่ต้องการธาตุไม้ ก็อาจจะใช้ของส่วนตัวหรือสรรพสิ่งรอบตัวที่ทำจากไม้เยอะๆ ใช้สีเขียวมากๆ หรือนอนหันหัวไปทางทิศตะวันออกที่เป็นพลังธาตุไม้

    ส่วนคนชอบธาตุน้ำก็จะอยู่บริเวณที่มีน้ำเยอะ ไม่ว่าจะเป็นสระน้ำหรือบ่อน้ำธรรมชาติต่างๆ หรือใช้สีฟ้า สีน้ำเงินมากๆ เป็นการปรับดวงชะตา หรือนอนหัวไปทางทิศเหนือที่เป็นพลังธาตุน้ำ

จากที่กล่าวมาทั้ง 3 ปัจจัย ชะตามนุษย์ ชะตาฟ้า ชะตาดิน จึงเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของมนุษย์ โดยสิ่งที่เรากำหนดได้นั้นคือชะตามนุษย์ หรือสิ่งที่เราใช้ความพยายามสร้างเองจากความเพียรของเรา

ชะตาฟ้าเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เพราะเป็นพลังที่ถูกกำหนดแล้ว

ส่วนชะตาดินนั้น แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่คนกำหนดได้ เพียงแต่เป็นสิ่งที่หลายๆ คนมองข้ามหรือไม่เข้าใจว่าสรรพสิ่งรอบตัวเรามีพลังงานและส่งผลกับเราอย่างไร ดังนั้น คนที่เข้าใจหรือเชื่อเรื่องของพลังงานจากสรรพสิ่งต่างๆ ก็สามารถปรับชะตาดินของตนเองได้ ไม่ว่าจะเกิดจากการเรียนรู้จากหนังสือต่างๆ หรือปรึกษาซินแสที่มีประสบการณ์

เพราะหากว่าเรากำหนดชะตาดินเราให้ดีได้ และรวมกับชะตามนุษย์ที่เกิดจากความพากเพียรของเราเองแล้ว แม้ว่าชะตาฟ้าหรือดวงเราจะแย่แค่ไหน แต่ปัจจัยที่กำหนดเองได้ 2 จาก 3 ปัจจัย ก็ยังทำให้ชีวิตเราเจริญรุ่งเรืองได้

ส่วนคนที่ขยันสร้างตนเองให้ประสบความสำเร็จหรือมีชะตามนุษย์ที่ดีนั้น แต่มีชะตาฟ้ากับชะตาดินไม่ดีก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้ เหมือนคนที่มีความรู้ ความสามารถ ความเพียรมาก แต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต

สำหรับคนที่มีชะตามนุษย์ไม่ดี หรือเป็นคนไม่เอาการงาน ไม่มีความสามารถ แต่มีชะตาฟ้าและชะตาดินที่ดีก็มี 2 ใน 3 ปัจจัยที่ดี ชีวิตก็มีโชคลาภและสุขสบาย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จด้วยตนเองได้

เปรียบเสมือนลูกคนรวยมีพ่อแม่อุปการะทั้งชีวิตแต่ไม่สามารถสร้างความสำเร็จจากตนเองได้ แต่ได้ความสำเร็จจากผู้อื่นมาทำให้ชีวิตสุขสบาย

ส่วนคนที่มีชะตามนุษย์และชะตาฟ้าดี แต่มีชะตาดินไม่ดีนั้น จริงอยู่ว่าปัจจัย 2 ใน 3 อย่างนั้นดีก็จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้นั้น ถ้าหากพิจารณาจริงๆ แล้วชะตาฟ้าคงไม่ได้กำหนดให้คนแต่ละคนมีชะตาชีวิตหรือดวงดีเสมอไป อย่างไรก็ต้องมีช่วงเวลาที่มีดวงไม่ดีเกิดขึ้นได้บ้าง ซึ่งเป็นเหตุให้มีช่วงจังหวะที่ดวงตกหรือชะตาไม่ดีทำให้ชีวิตไม่เจริญรุ่งเรืองได้

ดังนั้นจึงต้องพิจารณาใช้ชะตาดินเป็นตัวเสริมให้ชีวิตคนนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองในช่วงที่ดวงตก เพื่อให้ชีวิตคนนั้นสามารถมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องได้ ซึ่งหากสร้างชะตาดินให้ดี โดยมีชะตาฟ้าและชะตามนุษย์ที่ดีได้ด้วยก็จะเปรียบเสมือนพยัคฆ์ติดปีก ได้รับความสำเร็จอย่างสูงในเรื่องต่างๆ ได้เกินมนุษย์ทั่วไปนั่นเอง

Related Posts

ตามช่วงเวลา