ที่มาภาพ : shutterstock
ปัจจุบันวิชาฮวงจุ้ยถูกผสมผสานไปด้วยความเชื่อทางศาสนา ลัทธิ ประเพณี วัฒนธรรม พิธีกรรม คาถา ไสยศาสตร์ และวัตถุที่ถูกทำการตลาดต่างๆ ว่ามีมงคลวิเศษ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่สิบปีหลังนี้ และทำให้คนทั่วไปมองเรื่องฮวงจุ้ยเป็นเรื่องที่เกี่ยวการใช้ความเชื่อในสิ่งต่างๆ โดยไม่รู้ถึงที่มาที่ไป และเข้าใจหลักการว่าทำไมถึงต้องเชื่อสิ่งเหล่านี้
หลายๆ คนก็เข้าใจผิด คิดว่าฮวงจุ้ยเกี่ยวกับเรื่องห้ามนั่งหรือนอนใต้คาน ห้ามให้บานประตูชนกัน หน้าบ้านห้ามมีทางสามแพร่ง เสาไฟฟ้า หรือหม้อแปลงไฟฟ้า ห้ามมีมุมแหลมจากสิ่งรอบข้างเพราะจะทำให้คนในบ้านถูกทิ่มแทง บริเวณหน้าบ้านห้ามตั้งห้องน้ำ ห้ามมีบันได ส่วนขั้นบันไดต้องเป็นเลขคี่หรือเลขคู่ (แล้วแต่สำนัก) ซึ่งความเป็นจริงแล้ว หลักการของฮวงจุ้ยเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่บนหลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเชื่อต่างๆ นานาเลย
ความเชื่อเหล่านั้น เป็นเพียงปัจจัยเบื้องต้น แต่ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าฮวงจุ้ยในแต่ละสถานที่จะดีหรือร้าย ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องของการเหนี่ยวนำกระแสพลังงานจากธรรมชาติมาเสริมคนให้มากที่สุด ซึ่งความเป็นจริง มนุษย์ก็เกิดมาพร้อมกับพลังงานทางธรรมชาติต่างๆ นานา เช่น พลังงานแม่เหล็กที่ห่อหุ้มโลกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอย่างที่เรารู้ว่าแม่เหล็กก็มีปฎิกิริยาต่อเหล็ก และในร่างกายมนุษย์ก็มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบในเลือด จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แม่เหล็กโลกมีปฏิกิริยาต่อมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน
เราสามารถสังเกตได้จากการที่หัวลูกศรที่เป็นขั้วแม่เหล็กขั้วบวกในเข็มทิศจะชี้ไปทางทิศเหนือที่เป็นแม่เหล็กขั้วลบเสมอ ซึ่งหลักการของแม่เหล็กนั้น พลังที่ต่างขั้วกันจะดูดกัน และพลังงานจากขั้วบวกก็จะวิ่งไปหาขั้วลบเสมอ เมื่อลูกศรเข็มทิศเป็นแม่เหล็กขั้วบวกก็ทำให้รู้ว่าทิศเหนือเป็นแม่เหล็กขั้วลบแน่นอน และทิศใต้ก็มีแม่เหล็กขั้วบวกจึงทำให้รู้ว่าพลังงานแม่เหล็กนั้นวิ่งจากทิศใต้ไปยังทิศเหนือแน่นอน และนี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่คนจีนนิยมจัดฮวงจุ้ยให้หันหน้าไปทางทิศใต้ เพื่อให้ได้รับพลังงานแม่เหล็กโลกให้สูงสุด ดังจะเห็นได้จากตำแหน่งราชวังจีนในสมัยก่อน
ภาพวังจีนในสมัยก่อน ที่คนจีนนิยมจัดฮวงจุ้ยให้หันหน้าไปทางทิศใต้ เพื่อให้ได้รับพลังงานแม่เหล็กโลกสูงสุด
ที่มาภาพ : shutterstock
ในขณะเดียวกัน บ้าน หรืออาคารต่างๆ ในแต่ละสถานที่ก็ได้รับพลังงานที่แตกต่างกัน สาเหตุหนึ่งคือการทำมุมองศากับเส้นแรงแม่เหล็กโลกคนละแนวกันก็จะสะสมพลังงานต่างกัน
พลังงานเหล่านี้ที่สะสมในบ้านที่เราอยู่อาศัยตลอดจึงส่งผลต่อคนอยู่อาศัยอย่างแน่นอน ซึ่งพลังงานเหล่านี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ซินแสที่ดูฮวงจุ้ยต้องมีการวัดองศาจากแกนแม่เหล็กโลก เพื่อนำมาคำนวณว่าสถานที่นั้นๆ เหนี่ยวนำพลังที่ดีหรือร้าย และส่งผลต่อแต่ละบุคคลได้อย่างไร
ก่อนที่ซินแสจะคำนวณพลังงานจากสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ที่เข้ามาสู่บ้านและอาคารว่าเป็นพลังงานชนิดไหน สอดคล้องและส่งผลด้านไหนอีกที ซึ่งพลังงานต่างๆ นั้นส่งผลกระทบต่อคน โดยหากเป็นพลังงานที่ดีก็ส่งผลกระตุ้นความคิดให้คิดสิ่งต่างๆ หรือตัดสินใจเรื่องต่างๆ สอดคล้องกับจังหวะและโอกาสในโลกปัจจุบัน และเมื่อส่งผลบ่อยๆ ก็ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองได้
ในทางตรงข้าม หากเป็นพลังงานที่ร้ายก็ส่งผลกระตุ้นให้คิดไม่ตรงจังหวะและโอกาสเสมอ จึงเกิดการตัดสินใจผิดพลาด ทำให้เกิดความล้มเหลวของชีวิต
หลายคนอาจจะสงสัยว่าพลังเหล่านี้มีจริงหรือ ซึ่งจะอธิบายแบบคร่าวๆ ง่ายๆ เกี่ยวกับฮวงจุ้ยว่า วิชาฮวงจุ้ยนั้นแบ่งเป็น “ฮวงจุ้ยเชิงชัยภูมิ” ที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมที่เราสามารถมองเห็นสัมผัสได้ว่ามีรูปลักษณ์รูปทรงอย่างไร ซึ่งฮวงจุ้ยส่วนนี้มีให้ศึกษาแพร่หลายทั่วไปตามร้านหนังสือ
แต่ฮวงจุ้ยอีกส่วนคือ “ฮวงจุ้ยในเชิงปราณพลังงาน” ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่ส่งผลต่อมนุษย์ โดยพลังต่างๆ นั้นสามารถวัดค่าได้โดยการใช้เข็มทิศจีนหรือที่เรียกว่า “หล่อแก” ที่มีสูตรคำนวณพลังงานนั้น นำมาวัดองศาจากแกนแม่เหล็กโลก ยกตัวอย่างเช่น
พลังงานจากทิศเหนือเป็นพลังงานธาตุน้ำ ซึ่งหลายคนคงสงสัยว่าเป็นธาตุน้ำได้อย่างไร ลองนึกภาพตามว่าหากเราอยู่ในประเทศโซนเหนือเส้นศูนย์สูตรแล้วเดินทางขึ้นไปทางเหนือ อากาศก็จะเย็นมากขึ้นเสมอ เช่น เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ หรือไปต่างประเทศ เช่น จีน เกาหลี รัสเซีย ก็ยิ่งหนาวขึ้น
โดยธาตุที่มีพลังความเย็นสุดก็คือธาตุน้ำ ดังนั้นกระแสพลังงานที่มาจากทางทิศเหนือผ่านกระแสลมที่นำพาพลังงานนั้นมาจึงเป็นพลังงานธาตุน้ำ ซึ่งบ้านที่หันหน้าทางทิศเหนือก็จะได้รับพลังงานธาตุน้ำอยู่เสมอ
ในทางกลับกัน พลังงานจากทิศใต้ก็จะเป็นธาตุไฟสำหรับประเทศโซนเหนือเส้นศูนย์สูตร ซึ่งลองคิดกลับกัน หากเราอยู่ประเทศจีน รัสเซีย เดินทางมาทางใต้เช่นประเทศไทยหรือมาเลเซีย อากาศก็จะร้อนขึ้น ซึ่งธาตุที่ร้อนสุดก็คือธาตุไฟ ดังนั้นพลังงานที่มาจากทิศใต้ผ่านกระแสลมที่เป็นตัวนำพาพลังงานจึงนำพาพลังงานธาตุไฟ ซึ่งหากบ้านหรืออาคารหันหน้าหรือมีช่องเปิดต่างๆ ทางทิศใต้ ก็มีโอกาสจะได้รับพลังธาตุไฟเสมอ
อันนี้เป็นการยกตัวอย่างคร่าวๆ สำหรับพลังงานที่เรามองไม่เห็น ซึ่งแท้จริงแล้วยังมีวิธีการคิดที่ซับซ้อนกว่านี้ จึงสามารถบอกได้ว่าองศาทิศทางไหนเป็นพลังงานที่ดีหรือร้าย โดยระบุเจาะจงได้ว่าดีในเรื่องใดๆ อีกด้วย
ส่วนวัตถุต่างๆ ภายในบ้านหรือนอกบ้านก็มีพลังงานในตัวมันเอง เช่น
- สิ่งของที่เป็นเซรามิก ดินเผา ก็เป็นธาตุดินเพราะทำมาจากดิน
- สิ่งของที่ทำจากเหล็ก สเตนเลส อะลูมิเนียม ก็เป็นธาตุทองหรือธาตุโลหะ
- สิ่งของที่ทำจากไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระดาษ เส้นใย ดอกไม้ ต้นไม้ก็เป็นธาตุไม้
- สิ่งของที่เป็นพลาสติก ที่ทำจากปิโตเคมี เป็นธาตุไฟ
- ส่วนบ่อน้ำ น้ำพุ น้ำตกก็เป็นธาตุน้ำ
แท้จริงแล้วสรรพสิ่งรอบตัวนั้นก็มีพลังงานในตัวเอง โดยสิ่งของเหล่านี้ก็มีปฏิกิริยากับพลังงานต่างๆ ในแต่ละทิศทางและในแต่ละสถานที่จึงเกิดอิทธิพลต่อคนที่อยู่อาศัยในสถานที่นั้นๆ ได้ วัตถุแต่ละชนิดมีโปรตอนและอิเล็กตรอนซึ่งเป็นสภาพขั้วบวกและขั้วลบเหมือนแม่เหล็กเป็นองค์ประกอบอยู่จึงสามารถส่งพลังงานมาสู่คนได้ โดยจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับขนาดของวัตถุว่าใหญ่หรือเล็ก
นอกจากนี้ พลังงานจากสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตนั้นสามารถวัดได้ในทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน เช่น การถ่ายภาพจากกล้องเคอร์เลียน (Kirlian Camera) ที่สามารถถ่ายเห็นแสงออร่าหรือประจุไฟฟ้าในสิ่งต่างๆ ได้ โดยหากถ่ายภาพคนที่จิตใจสงบก็จะเห็นพลังงานจากภาพถ่ายมีสีสันสวยงามและแผ่กระจายออกมาได้ดี แต่หากถ่ายภาพคนในสภาวะจิตใจหรือร่างกายที่แย่ ภาพที่ถ่ายออกมาก็ส่งพลังงานที่ผิดเพี้ยนไม่สมบูรณ์
หรือหากถ่ายภาพใบไม้ที่เพิ่งเด็ดจากต้นไม้ใหม่กับใบไม้ที่เด็ดจากต้นไม้แล้วทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ มาเปรียบเทียบกัน ภาพใบไม้ที่เพิ่งเด็ดใหม่จะมีแสงพลังงานที่ชัดเจนกว่าพลังงานจากใบไม้ที่เด็ดทิ้งไว้
ภาพถ่ายเคอร์เลียนที่สามารถถ่ายออร่าหรือประจุไฟฟ้าที่มีในวัตถุต่างๆ รวมถึงสิ่งมีชีวิต เช่น มนุษย์ สัตว์ พืช
ที่มาภาพ : shutterstock
ทุกสรรพสิ่งไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ส่งพลังงานออกมากระทบกับพลังงานรอบตัว ซึ่งในทางวิชาฟิสิกส์นั้นอธิบายหลักการบางอย่างจากเรื่องกฎแรงดึงดูดระหว่างวัตถุว่า วัตถุทุกชนิดมีแรงดึงดูดระหว่างกัน โดยวัตถุมีขนาดใหญ่กว่าก็จะมีแรงดึงดูดมากกว่า เช่น ดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าโลกก็มีแรงดึงดูดโลกไม่ให้หมุนหลุดจากวงโคจรนอกจักรวาล หรือดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าโลกก็หมุนรอบโลกด้วยแรงดึงดูดจากโลกด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม วัตถุยิ่งใกล้กันยิ่งมีแรงดึงดูดกันมาก ดังเช่นดวงจันทร์จะเล็กกว่าดวงอาทิตย์ แต่ระยะทางดวงจันทร์ใกล้โลกมากกว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์จึงส่งผลกำหนดน้ำขึ้นและน้ำลงในโลกได้ชัดเจน โดยส่งผลกับมนุษย์ด้วย เนื่องจากในตัวมนุษย์เป็นน้ำกว่า 70% ของร่างกาย (ซึ่งก็คือเลือด น้ำเหลือง น้ำย่อยต่างๆ)
หรือสังเกตได้จากระบบโคจรพลังงานการขับเลือดเสียของผู้หญิงมีทุก 28 วัน เท่ากับอัตราการที่ดวงจันทร์หมุนรอบโลกพอดี เลือดเสียนั้นถูกเรียกว่าประจำเดือน ซึ่งแท้จริงแล้วคำว่า ”เดือน” ก็แปลว่าพระจันทร์เช่นเดียวกัน
ในขณะที่ดวงจันทร์ห่างจากโลก 300,000 กิโลเมตร ส่งผลต่อมนุษย์และสัตว์ขนาดนี้ ลองคิดจินตนาการดูว่าโลกเราใหญ่กว่าพระจันทร์แล้วมีแรงดึงดูดติดกับคนและสัตว์โดยตรงนั้น จะมีอิทธิพลต่อมนุษย์เรามากกว่าพระจันทร์แค่ไหน
หลายคนมีความเชื่อเกี่ยวกับฮวงจุ้ยที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะโลกแห่งการตลาดในปัจจุบัน ฮวงจุ้ยถูกรวมสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักวิชาฮวงจุ้ยเข้ามาอยู่ด้วย เช่น การรวมความเชื่อทางศาสนา ลัทธิ ประเพณี วัฒนธรรม พิธีกรรม คาถา ไสยศาสตร์ และวัตถุที่ถูกทำการตลาดต่างๆ ว่ามีมงคลวิเศษต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คัมภีร์โบราณไม่เคยการกล่าวถึงเสือคาบดาบ ลูกแก้วดิสโก้เทค ติดยันต์แปดทิศ ยันต์ต่างๆ นานา เทพเจ้านำโชค หรือสัตว์มงคลต่างๆ สิ่งเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพียงไม่กี่สิบปีหลังนี้เอง
คริสตัลบอล กับความเชื่อว่าช่วยสะท้อนสิ่งที่ไม่ดี ลดทอนพลังงานร้าย
ที่มาภาพ : Аида Тикиева on Unsplash
วัตถุมงคล ยันต์ต่างๆ นานา ถูกสร้างด้วยโลกแห่งการตลาดเพื่อมูลค่าของสินค้าที่มากขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ
หากมีคนบอกว่าซื้อวัตถุมงคลอย่างหนึ่งแล้วจะร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้จริง โรงงานผลิตวัตถุมงคลที่ผลิตวัตถุนั้นๆ เป็นแสนเป็นล้านชิ้นคงเป็นโรงงานที่ร่ำรวยมหาศาลไปแล้ว หรือหากนำวัตถุมงคลที่หายากต่างๆ นานามาใช้แล้วสร้างความร่ำรวยจริงคงไม่ได้มีการเอามาขายหรือยกให้คนอื่นกันง่ายๆ เหมือนที่เห็นซื้อขายกันได้ในท้องตลาด
โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยการทำการตลาดเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าจึงทำให้ความเข้าใจของคนเกี่ยวกับเรื่องฮวงจุ้ยผิดเพี้ยนไป แท้จริงแล้ววัตถุมงคลทั้งหลายนั้นก็เป็นแค่วัตถุที่มีพลังงานในตัวมันเองเหมือนวัตถุสิ่งของทั่วไปตามกฎแรงดึงดูดที่เป็นวิทยาศาสตร์แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งของเหล่านั้นมีอิทธิฤทธิ์พิเศษเหนือสิ่งอื่นใด ยกตัวอย่างเช่น
สิงโตหินแกะสลักที่ใช้ตั้งหน้าปากประตูทางเข้า จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์แต่อย่างใด สิงโตหินแกะสลักเป็นเพียงวัตถุธรรมดาที่มีพลังงานธาตุดินเพราะทำจากหินที่มีสสารใกล้เคียงหรือเหมือนกับดิน โดยหากวางวัตถุธาตุดินนี้ให้สัมพันธ์กับพลังงานทางฮวงจุ้ยธาตุดินที่ดีในทางฮวงจุ้ยวัตถุนั้นก็เป็นเหมือนร่างของพลังงานธาตุดินที่ดีก็ช่วยให้เจริญรุ่งเรืองได้
ซึ่งแท้จริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสิงโตหินแกะสลักที่ราคาแพง เราสามารถใช้สิ่งของอื่นที่ทำจาก อิฐ หิน ดิน ทราย เช่น เซรามิก ดินเผาต่างๆ หรือหินแกะสลักรูปอื่นๆ ที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมตันๆ ก็มีพลังงานธาตุดินเช่นกัน ซึ่งสิ่งของเหล่านี้อาจมีราคาถูกกว่าเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกบวกความเชื่อว่าเป็นของวิเศษมีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นานา หรือสิ่งเหล่านี้อาจสร้างบรรยากาศให้สถานที่นั้นดูดีแตกต่างฮวงจุ้ยแนวตั้งวัตถุมงคลได้อีกด้วย
ซึ่งหากเรามองดูบ้านคนที่ร่ำรวย หรือมีตำแหน่งอำนาจ หลายคนก็ไม่ได้มีวัตถุมงคลหรือติดยันต์กันเต็มไปหมด หลายคนก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้เพราะแท้จริงแล้วบ้านและอาคารเหล่านั้นได้รับพลังงานที่ดีสะสมอยู่ตลอดจึงก่อให้เกิดแรงกระตุ้นทางความคิดให้คิดถูกกับจังหวะโอกาสเสมอ บวกกับความสามารถและการกระทำของบุคคลนั้นเองก็จะเป็นที่มาของคำว่าเจริญรุ่งเรือง